วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่องร่างทรงพระจีน


 เรื่องร่างทรงพระจีน

การที่จะเป็นม้าทรงนั้นไม่ได้เป็นกันง่ายๆ อย่างที่วัยรุ้นสมัยนี้คน
 "ม้าทรง" ในที่นี้คือ ร่างทรงของเทพเจ้าจีนซึ่งจะลงมาประทับร่างม้าทรงทุกๆเทศกาลกินเจหรือในโอกาส สำคัญต่างๆตามแต่เทพเจ้าที่ประจำร่างม้าทรงนั้น
จะลงมาประทับร่าง (กี่ต๋อง) แต่ก็มิใช้ว่าจะลงมาประทับได้ทุกวัน เพราะท่านถึงเป็นเทพแล้ว มิใช้ว่าจะลงมาโลกมนุษย์ได้ประจำ ถึงเป็นชั้นเทพหรือชั้นไหนก็ตั้งบำเพ็ญศิลบารมี ที่ท่านจะลงมาก็ต้องมีเรื่องสำคัญจริงๆ ท่านถึงจะลงมาบอกกว่ากับรู้หลายได้รับทราบ ไม่ใช้ลงมาเล่นหรือมาเป็นประจำ แล้วเทียวกินเครื่องเซ่นที่ลูกหลานนำมาบูชา เห็นมีเยอะแยะไปตามงาน (แชยิด) ที่เหล่าร่างทรงทหาร เช่น พระตระกูลฮู้บางละ กวรอูบาง หลี่โหล่เชียบาง ไม่ว่าร่างทรง ชาย หรือ หญิง ที่ลงในงานดูไม่มีจริดของเทพเสียเลย ที่บอกว่าตนเป็นพระฮู้หรือทหารนั้นหรือเจ้าแม่นั้น
ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับภูผีปีศาล เทียวดื่มกินของบนโต๊ะเซ่นไหว้ พระหญิงก็เริงระบำสนุกสนาน ไม่สำรวมตัว เหมื่อนผีไรญาติ นี้หรือที่บอกว่าร่างทรงขอเทพเจ้า เทพเจ้าท่านมีกายทิพย์ มีจิตใจที่เมตา บริสุทธิ์ อยู่ในศิลในธรรม ถึงจะเป็นเทพทหารก็ที่เถอะ ท่านไม่มากินไก่กินหัวหมูอยู่หลอก ท่านเป็นกายทิพย์นะท่านอิ่มด้วยบุญ ไม่ใช่แบบนี้ กินทางปาก อิ่มที่ท้อง แบบมนุษย์ ท่านอิ่น ทานทางตา อิ่มทางใจ กายทิพย์อิ่มทิพย์อยู่แล้ว จะมายื่นกินอยู่ทำมัยกัน แปลกตจริงๆ อิอิ... ที่เป็นอยู่นั้นอะ ก็เป็นแค่ขุนทหารหรือผีสาง และผีเด็กที่เรียกว่า กรุมาร พระเด็นที่เห็นลงๆกินน้ำแดงนั้นละ แต่เทียวมาใส่เอียม ถือ อ่อเหลง, ฮวดโซะ นึกว่าคนอื่นจะดูไม่ออกหรือไร อิอิ แล้วคนแบบไหนล่ะที่จะได้เป็นม้าทรง

     เชื่อกันว่าการเข้า ทรงของพระจีนเป็นการแสดงอิทธิฤทธิ์ของพระจีนและสามารถปัด เป่าสิ่งชั่วร้าย บันดาลความสุขให้แก่ผู้เคารพเลื่อมใสพระจีน และเชื่อกันว่าผู้ที่เป็นม้าทรง (กี่ต๋อง) ของพระจีนได้ จะต้องเป็นบุคคลที่มีลักษณะดังนี้
  1. เป็นผู้มีบุญที่เทพเจ้าเลือกแล้ว แม้จะอยู่ไกลเพียงใด แต่อาการของคนจะเป็นม้าทรงจะออกมาเอง คือ จะมีอาการสั่น หนาวเย็นมือและท้าว หัวเราะเสียงดังลั่นราวกับนักรบจีนสมัยโบราณ ใจเ้ต้นแรงหรือใจสั่นตามเสียงกล่องควบคุมตัวเองไม่อยู่และมึนๆ แบงรายอาจมีอาการเคลือนไส้ หรืออาจจะมีอาการสั่นศีรษะเบาๆกรณีที่เป็นเทพฝ่ายหญิงเป็นต้น
  2. คน ที่ชะตาขาดแล้วเทพเจ้าช่วยเหลือต่อชีวิตให้ เป็นคนชะตาขาดกำลังจะดับ แต่ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องตาย พระจีนหรือเจ้าจะเข้าประทับทรง เป็นการช่วยเหลือต่ออายุให้ม้าทรง ดังนั้นเมื่อถึงเทศกาลกินเจก็ต้องเป็นม้าทรง 
  3. คนที่เคย บนบานสานกล่าวไว้ว่าจะยอมเป็นม้าทรง หรือ โดยความสมัครใจของม้าทรงที่จะเสียสละอุทิศตนรับใช้พระจีน และพระจีนยอมรับว่าเป็นบุคคลที่เหมาะสมให้เป็นม้าทรงได้
  4. อย่าที่วัยรุ้นทำกันก็ ไปเชี้ยพระหรือ การที่ให้ฮวดกั้วเชิญพระที่เราต้องการอยากจะลงมา ประทับร่างเรา เป็นพิธีที่ผิดและไม่ดีเป็นอันมาก ไม่มีพระไหมมาประทับหรอก ก็เป็นแค่ขุนผล หรือพระองค์เล็ๆ พระที่ใหญ่จริงๆฮวดกั้วไม่ดีเชิญยังไงก็ไม่มาหรอก เป็นแค่มนุษย์ศิลไม่มีจะเอาบารมีที่ไหนมาอันเชิญท่าน แต่ (ฮวดกั้วดีๆ) ก็มีนะ ไม่ใช้เลวไปเสียหมด 
     คนที่มีองค์เทพคุ้มครอง บางครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นม้าทรงแต่ต้องบูชาเทพองค์นั้น แต่บางครั้งก็ต้องให้เทพลงประทับทรง
     ชีวิต ของคนที่เป็นม้าทรงจะเกี่ยวข้องกับศาลเจ้าไปโดยปริยาย ม้าทรงแต่ละคนจะต้องมีพี่เลี้ยงอย่าน้อย 2-3 คน คือคนดูแลในเรื่องต่างๆ เช่น การใส่ต้อ การนำไปทำพิธีต่างๆ ถืออาวุธหรือสิ่งของ และม้าทรงจะต้องถือศีลกินเจ ไปทำความสะอาดศาลเจ้า เวลาศาลเจ้ามีงานวันเกิด(แซยิด) เทพเจ้าต่างๆก็ต้องเข้าร่วมงานไม่จำเป็นต้องไปประทับทรงแค่เข้ารวมในงานก็พอ และที่สำคัญม้าทรงมีหน้าที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าในการช่วยเหลือมนุษย์ เช่น คนป่วย ,คนมีเคราะห์ , คนที่มีปัญหาทางจิตใจ , ชีวิต , ครอบครัว

การเข้าทรงของ พระจีน จะมาช่วยขจัดปัดเป่าทุกข์ร้อน รักษาโรคภัยไข้เจ็บ บันดาลความเจริญรุ่งเรืองในการประกอบอาชีพ และอำนวยความเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้ที่เคารพเลื่อมใส

    การอัญเชิญพระจีนเข้าประทับทรง จะต้องบวงสรวงในอ้ามโดยมีม้าทรงและพี่เลี้ยง 2-3 คน เป็นผู้ช่วย กล่าวบทอัญเชิญพระจีน ตีล่อโก๊ะ ตีกลอง จุดธูป เผาไม้หอม เซ่นไหว้ด้วยผลไม้บูชาหน้ารูปพระจีนหรือหน้าตั๋ว เมื่อพระจีนเข้าทรง ม้าทรงตัวสั่นสะท้าน ส่ายหน้าไปมา มือเกร็งสั่นเทิ้มตลอดเวลา ร่างของม้าทรงจะวิ่งไปที่หน้าแท่นบูชา หยิบธง (อ่อเหลง , ฮวดโซะ ) และอาวุธประจำตัวของพระจีนองค์ที่เข้าทรงได้ถูกต้อง พี่เลี้ยงจะช่วยถอดเสื้อม้าทรงออก แล้วเอาต้อชุดทรงประจำตัวของพระจีนนั้นมาผูกใส่ให้

     การแสดงอิทธิฤทธิ์ของพระจีน เมื่อพระจีนเข้าทรงแล้ว บางครั้งจะคว้าอาวุธ คู่มือ มีทั้งดาบจีน ง้าว ขวาน มีด เหล็กแหลม ลูกตุ้มเหล็ก เป็นต้น ออกมาร่ายรำ ฟาดฟัน ทิ่มแทงร่างกายตนเอง เช่น แก้ม ลิ้น แขน หน้าอก หลัง สีข้าง ตัดลิ้นออกมาเขียนยันต์เขียนฮู้ให้ผู้เคารพเลื่อมใสเก็บไว้เป็นสิริมงคล การกระทำของพระจีนม้าทรงจะไม่รู้สึกตัวไม่มีความเจ็บปวดซึ่งหลังจากพระ จีนออกจากการเข้าทรงแล้ว ร่างม้าทรงจะมีร่องรอยบาดแผลอยู่เพียงเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองโดยใช้ยันต์ปิดไว้ ร่องรอยที่แก้มก็เพียงเอาเถ้าขี้ธูปอุดรูไว้ก็จะหายสนิท

     การรับปรึกษาแก่ผู้เลื่อมใส โดยผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจะเล่าเรื่องของตนซึ่งพระจีนก็จะให้คำปรึกษา แนะนำ ชี้แนะวิธีปฏิบัติตามแก่กรณี ระหว่างทำพิธี จะมีการประโคม "ตัวก้อ" กลองใหญ่ "กิมก้อ" กลองเล็ก และโกก้อ "กลอง แห่ขบวน" และจุดประทัดอึกทึกเร้าใจอยู่ตลอดเวลา การออกจากร่างม้าทรง เมื่อเสร็จภารกิจ หรือตามเวลาอันสมควร พระจีนก็จะออกจากร่างม้าทรง โดยมีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือ

     ผู้ที่เป็นม้าทรงจะต้อง รักษาความสะอาดของร่างกาย รวมทั้งวิถีชีวิตของความเป็นอยู่โดยไม่รับประทานเนื้อสัตว์ต้องรับประทานผัก อย่างเดียว ในช่วงเทศกาลถือศิลกินผัก นอกเหนือจากเทศกาลแล้ว ก็ควรักษาศิล นั่งสมาธิสวดมนย์เป็นประจำ ควรกินเจในวันพระและวันเกิดของตัวเอง ห้ามทานของในงานศพอิกด้วย

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สัมผัสที่ 6 (six sense)

สัมผัสที่ 6 (six sense)

ในทางการแพทย์..ประสาทสัมผัสของมนุษย์มีเพียง 5 อย่างเท่านั้น
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย

แต่ในทางพุทธศาสนานั้น..ประสาทสัมผัสมี 6 อย่าง คือ
(อายตนะ 6) คือ ประสาทสัมผัสทางใจที่ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ เรียกว่า ธรรมารมณ์ อายตนะ แปลว่า เครื่องสืบต่อ มีอยู่ทั้งหมด 6 ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจนี่เอง

ใน การเจริญสติ เราต้องรอบรู้ในกองสังขารที่มาจากการสัมผัสทั้ง 6 ช่องทางนี้ให้ละเอียดรอบด้าน กิเลสความหลงความปรุงแต่งไปในอดีต ในอนาคต สุขทุกข์ ล้วนมีจุดก่อกำเนิดเกิดเป็นอัตตาตัวตนมาจากการหลงไม่รู้เท่าทันในการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางกายและทางใจนี้ทั้งสิ้น จึงมีคำกล่าวว่า หากไม่รู้จักทุกข์จะวางทุกข์ได้อย่างไร หากไม่รู้จักสังขาร จะวางสังขารได้อย่างไร

 หรือสัมผัสที่ 6 ของมนุษย์นั้น..อาจเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติ
แต่ในทางพุทธศาสนา..เกิดขึ้นได้กับคนที่มีจิตใจสะอาด..จิตมีความละเอียด
หรือคนที่รักษาศีล 5..จนมีความสมบูรณ์ของศีล..ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเป็นคนดี

การรับรู้ตรงนี้จึงกลายเป็นเรื่องปกติของผู้ฝึกเจริญสติสร้างความรู้สึกตัวจนชำนิชำนาญและรู้จักการสังเกตได้ดีแล้วนั่นเอง

สรุป แล้ว สัมผัสที่ 6 ของเราทุกคนเขาทำงานของเขาอยู่ตลอดเวลาเป็นปกตินั่นแหละ เราเองต่างหากที่ไม่มีสติสัมปชัญญะพอที่จะไปรู้สึกรับรู้ตรงนั้นต่างหาก เราไม่ปกติเอง เพราะจิตเราไม่ตั้งมั่น สติเราไม่ต่อเนื่องพอ เราขาดการสังเกต ขาดการน้อมเข้ามาดูกายดูใจของตนเอง เรามีแต่หลงส่งจิตออกนอก หลงความคิดความปรุงแต่ง จินตนาการไปต่าง ๆ นานา ไม่มีเวลาให้กับจิตกับใจตัวเองจริง ๆ เลยสักที จนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว แล้วเราก็กลับไปมองคนที่เขามีสติสัมปชัญญะ สามารถสัมผัสรับรู้ธรรมารมณ์เหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่องเป็นปกติว่า เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ ไม่ธรรมดา หรือเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดานั่นเอง
 ถ้าเป็นจิตที่ออกมากระทบผัสสะผ่านอายตนะทั้งห้า แล้วกิเลสมันมากมันก็กลายเป็นสัมผัสแล้วรู้ตามกิเลส ที่คิดว่าคนนั้นคนนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เหตุการณ์อย่างนั้นอย่างนี้จะเกิด ก็พลอยไม่ถูกเสียที(แต่เขาเองอาจจะไม่รู้ตัว หรือาจจะรู้ช้า) แต่หากช่วงสงบจากกิเลสเอามาน้อมพิจารณาใหม่ ความคิดก็อาจเปลี่ยนไป

แต่ถ้าคนมีปัญญาเขากำหนดรู้ผ่านสัญญาเดิมที่ไม่วิปลาสหรือวิปลาสน้อยกว่าคน มีกิเลสทั่วไป การรู้สึกหรือรับรู้ก็แม่นยำกว่าคนทั่วไปได้ในส่วนที่เขาเชี่ยวชาญ
แต่ถ้าคนมีกำลังสมาธิมาก มันก็สามารถรับรู้ผ่านด่านกายหยาบไปอีก เข้าไปรู้เห็นอะไรได้มาก แต่จะตีความถูกผิดแค่ไหน ก็ต้องอาศัยปัญญาอีกเช่นกัน ถ้าถูกกิเลสเล่นงานก็อาจนำความสามารถไปปรุงอุปาทานได้ก็คือ ความหลงนั้นเอง

เหตุที่ทำให้มีองค์เทพฯ

เหตุที่ทำให้มีองค์เทพฯ

ปฐมเหตุของการเกิดร่างทรงองค์เทพมากมายในยุคนี้ กล่าว กันว่าเมื่อครั้งพุทธกาล ก่อนที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนชีพอยู่ พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพุทธบริษัททั้งหลายว่า พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมีอายุ 5,000 ปี แต่ของพระองค์นั้นต้องการจะให้พระศาสนามีอายุเพียง 2,500 ปี เท่านั้น 

พระอานนท์จึงทูลถามว่า เหตุใดพระองค์จึงมิให้พระศาสนาดำรงอยู่จนครบ 5,000 ปี ดังพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า

แล้วผู้ใดเล่าจะเป็นผู้ดูแลพระศาสนา ” พระอานนท์จึงทูลว่า

“ ขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นพุทธบริษัทเป็นผู้ดูแลและบำรุงรักษาพระพุทธศาสนากึ่งหนึ่งเป็นเวลา 2,500 ปี “

:พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาต แล้วทรงถามต่อไปอีกว่า ใครจะขออะไรบ้าง

ปวงเทพทั้งหลายทุกเหล่าชั้น อันได้แก่ พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ เหล่าเทพเทวาทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันกราบทูล ขอให้ปวงเทพได้ดูแลและบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปอีกครึ่งหนึ่งของพระอานนท์คือ 1,250 ปี

:พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาตอีก แล้วทรงถามต่อไปว่าใครจะขออะไรอีก

เหล่าพญาครุฑ คนธรรพ์ นาคราช ท้าวกุเวร กินนร กินนรี และภูติผีปีศาจ จึงกราบทูลขอดูแลอายุพระศาสนาเท่าที่เหลือ 1,250 ปี ให้พวกเขาได้ดูแลรักษา จนกว่าพระศาสนาจะค่อย ๆ เรียวเล็กลงไป ยุคนั้นมนุษย์จะมีร่างกายเล็กลงไปตามลำดับ ถึงกับต้องปีนบันไดสอยลูกมะเขือ หรือเก็บเม็ดพริก พระสงฆ์สาวกก็จะร่อยหรอแทบว่าจะไม่มีเหลือ จะเหลือเพียง ผ้าเหลืองผืนน้อย ๆ ห้อยอยู่ที่หู เพื่อให้เป็นที่สังเกตุว่าเป็นพระสงฆ์เท่านั้น พระศาสนาก็จะเสื่อมถอยลงไปจนหมดพอดี 5,000 ปี ตามพุทธฎีกาที่กำหนดไว้

เมื่อถึงกึ่งพุทธกาล 2,500 ปี เป็นต้นมา จึงเป็นหน้าที่ของเทพพรหมเทวาทั้งหลายที่จะมาทำหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชูทนุ บำรุงสืบพระศาสนาขององค์สมณโคดม ตามที่ได้ทูลขอกับพุทธองค์ไว้ จึงเป็นเหตุในเกิดมีร่างทรงองค์เทพมากมายในปัจจุบัน

องค์เทพเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยสังขารของมนุษย์ที่มีธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยการมาแฝงบังคับร่าง เพื่ออาศัยติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ได้ นำพาพุทธบริษัทบริจาคทานสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ โดยอาศัยการช่วยเหลือบำบัดทุกข์ร้อน รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับมนุษย์ และบอกบุญกับสานุศิษย์ผู้ศรัทธาได้ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่าง ๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อการสืบพระศาสนาเป็นสำคัญ

ดังนั้นการที่องค์เทพจะมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นก็ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ

1. ญาณจุติ หมาย ถึงภาระหน้าที่ในการเกิดเป็นมนุษย์ตามวาระ และเป็นส่วนหนึ่งของเทพที่ลงมาจุติ เพื่อมารับกรรมบางอย่างและเพื่อทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำทางศาสนา เช่น พระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา ผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นผู้นำทางฝ่ายสงฆ์หรือฆราวาสก็ตาม ที่เป็นผู้ใฝ่ในการปฏิบัติจนได้ญาณหรือฌาณ และมักจะลำบากในช่วงแรกแต่จะสบายในช่วงปลาย
2. ญาณแฝง หมาย ถึง องค์เทพในระดับต่าง ๆ ที่ยังไม่ถึงวาระการเกิดเป็นมนุษย์ แต่มีความเลื่อมใส ปรารถนาจะช่วยส่งเสริมและมีส่วนร่วมในการสืบพระศาสนาด้วย ครั้นจะลงมาเกิดใหม่เพื่อสร้างบุญ ก็จะต้องรอเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลานั้น ญาณนี้แหละทีมักถูกเรียกกันว่า “ องค์ ” ซึ่งแยกตามภาระหน้าที่ได้ 2 ประการด้วยกัน
3.ความสัมพันธ์ในอดีต คือ ให้การอารักขาผู้ที่ได้มาจุติเป็นมนุษย์ เพราะเคยเกี่ยวสัมพันธ์กันมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อร่างนี้ได้ทำบุญและแผ่เมตตาให้ ก็จะได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกัน ขณะเดียวกันก็จะคอยปกป้องคุ้มครอง ช่วยเหลือการทำมาหากิน ดลจิตดลใจ หรือเกิดเป็นลางสังหรณ์ในเรื่องราวต่าง ๆ จะพาสร้างบารมีทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บางครั้งเวลาสวดมนต์นั่งกรรมฐานองค์เทพท่านจะพาสวดมนต์เป็นภาษาเบื้องบนหรือ ภาษาเทพไปเลยก็มี ความสัมพันธ์ดังกล่าวได้แก่
3.1 เคยมีบุญคุณกันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ หรือ ในอดีตชาติ
3.2 เคยติดหนี้บุญคุณกันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ หรือ ในอดีตชาติ
3.3 เคยเป็นบุตรหลานหรือบริวารกันมาก่อน
3.4 เกิดจาการสวดมนต์อ้อนวอนขอบารมีจากเทพเป็นประจำ จึงลงมาช่วย
4. ทำหน้าที่เป็นม้าทรง หรือ ร่างทรง ในกรณีเช่นนี้ส่วนใหญ่จะตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ เนื่องจากองค์เทพที่มาจับร่างเห็นว่า เป็นคนดีและมีบารมีพอ บังเอิญมาหมดอายุขัยก่อน ท่านก็เลยต่ออายุให้ ดังนั้นร่างนี้จึงต้องสร้างบารมีชดใช้หนี้บุญคุณขององค์เทพ โดยเป็นร่างทรงหรือสื่อที่จะติดต่อมนุษย์เพื่อสร้างบารมีร่วมกัน ในการทำนายทายทัก รักษาโรค หรือ อื่น ๆ สุดแท้แต่องค์เทพท่านจะเห็นสมควร และเมื่อถืงเวลาหรือหมดหน้าที่ก็จะต้องตายจริง ๆ

บางคนอาจสงสัยว่า “เทพ พรหม ” มีบารมีมากพอแล้ว ทำไมถึงต้องลงมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์อีก ทั้งที่ร่างกายมนุษย์มีแต่ของเน่าเหม็นเต็มไปหมด ดังนั้นเราควรศึกษาให้เข้าใจก็จะได้หายสงสัย เพราะความเป็นเทพพรหมแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสุคติภูมิ แต่ก็ย่อมมีอายุขัยแม้จะเป็นหมื่นปีแสนปี สักวันหนึ่งมาถึงก็ย่อมจะต้องลงไปจุติใหม่ตามวิบากกรรม
เหตุฉะนั้นเทพพรหมผู้ไม่ประมาท จึงต้องขวนขวายหมั่นสร้างบุญกุศลให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป อนึ่งในความเป็นเทพพรหมนั้นย่อมอยู่ในสภาวะที่เรียกกันว่า “ โอปปาติกะ ” คือมีความเป็นทิพย์ที่ละเอียด ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตาเปล่า เว้นแต่ผู้ที่ฝึกจิตจนใสละเอียดในระดับเดียวกันจึงสามารถมองเห็นตัวกันได้
ดังนั้นหนทางแห่งการสร้างบุญจึงมีขีดจำกัด ด้วยอานิสงก์แห่งบุญนั้นเอง ไม่เหมือน มนุษย์ย่อมสามารถบำเพ็ญบารมีได้ถึงชั้นสูงสุดคือ พระนิพพาน แม้แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอยู่สวรรค์ชั้นดุสิตก็ยังต้องมาจุติในภพมนุษย์ เพราะต้องอาศัยสังขารหรือธาตุขันธ์ 5 เพื่อชดใช้หนี้เวรหนี้กรรม จนบรรลุพระโพธิญาณ ได้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด
ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรามีองค์หรือเปล่า หรือชอบไปเที่ยวหาร่างทรงตามตำหนักต่าง ๆ เป็นเทพจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงสัมภเวสีที่แอบอ้างหากินไปวัน ๆ พอถูกเขาทักว่ามีองค์ก็เลยพาลรับขันธ์ 5 ไปเลยก็มี ถ้าทำถูกต้องก็ดีไป ถ้าทำไม่ถูกต้อง กลายเป็นว่าเอาผีมาใส่ไว้ในตัวก็จะซวยไปกันใหญ่ เพราะบางทีเราไม่ทราบว่า ตำหนักไหนแท้หรือเทียม บางคนไม่มีอะไร แต่พอเห็นเขามีองค์ก็พาลอยากจะเป็นบ้าง ก็เลยทำให้มีทั้ง “ คนทรงเจ้า ” “ เจ้าเข้าทรง ” ก็อยู่ในวิจารณญาณของท่านที่ต้องพิจารณาศึกษาให้ดีเสียก่อน
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราลุ่มหลงในเรื่องของ “ เทพพรหม ” เพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น ยังต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จึงไม่สอนให้ไปยึดติดในภพภูมิเหล่านั้น แต่ไม่ได้ทรงปฏิเสธในเรื่องเทพพรหมว่ามีจริง เพราะแม้ครั้งพุทธกาลก็เคยเสด็จไปโปรด พุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ แม้ในพุทธกิจก็ยังแบ่งเวลาไปโปรดเทพเทวดาในชั้นภูมิต่าง ๆ จนมีผู้สำเร็จอริยบุคคลไปเป็นจำนวนมาก

คนทรงเจ้าหรือเจ้าเข้าทรง



ร่างทรง คนทรงเจ้าหรือเจ้าเข้าทรง

ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาสาระในเรื่อง เกี่ยวกับความเชื่อถือในเรื่องการเข้าทรง
ก็อยากจะให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาในเรื่องดังกล่าว 2 ประเด็นด้วยกันคือ

1. คนทรงเจ้า หมายถึง คนธรรมดาที่ไม่มีเทพมาประทับ แต่จะแสดงตนแอบอ้างชื่อองค์เทพใหญ่ๆ ที่มีคนนับถือมากๆ โดยอาศัยความรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถาอาคม วิทยากล สมุนไพร ดูดวง เข้ามาประกอบ ทำให้คนหลงเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือมาจริง โดยหารู้ไม่ว่าเป็นการแสดงมายาเพื่อจะแอบอ้างกอบโกยเอาเงินทองจากผู้หลงไหล ในเรื่องเหล่านี้ ร่างทรงพวกนี้จึงเป็นพวก มิจฉาทิฎฐิ ที่อาศัยคำพูดและการแสดงที่จะทำให้คนเชื่อถือ หลอกให้เชื่อว่าเป็นมหาเทพลงมาประทับ เช่น ศิวะ นารายณ์ เป็นต้น
2. เจ้าเข้าทรง หมายถึง ผู้ที่ มีองค์เทพลงมาประทับจริง ๆ เพื่อ สร้างบารมี บางทีร่างทรงจะไม่รู้อะไรเลยในระหว่างที่องค์เทพผ่านมาประทับร่าง ดังนั้นร่างทรงประเภทนี้จะมีน้อยมากเพราะองค์เทพมีความประสงค์ที่จะมาช่วย บำบัดทุกข์ให้มนุษย์เพื่อสร้างบารมี ไม่โกงกินไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก เพื่อสั่งสมบารมีร่วมกับร่าง จึงทำให้พอมีกินมีใช้ ไม่ร่ำรวยมากนัก องค์เทพท่านจึงต้องเลือกร่างที่มีบุญบารมีมากๆ เท่านั้น คนชั่วช้าขาดศีลขาดศีลขาดธรรมท่านจะไม่เอาด้วย เว้นแต่เทพในระดับต่ำๆ ที่มีนิสัยเกเรเป็นสัมภเวสี เป็น เทพกึ่งเปรต ที่ ไม่มีวิมานอยู่ เพราะตอนกลางวันเป็นเทพแต่พอตกกลางคืนก็กลายเป็นเปรตหรือปีศาจเที่ยวหลอก หลอนชาวบ้าน จึงจับร่างที่ชั่วช้าสามานต์มาเป็นบริวารแห่งตน เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากเครื่องเซ่นสังเวยและอื่น ๆ มีนิสัยอันธพาล อิจฉาตาร้อนชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น อาศัยวิชาเดรัจฉานเลี้ยงชีพ จึงต้องรู้จักใช้วิจารณญาณในการพิจารณาเรื่อง การทรงเจ้าเข้าผี ดังที่ว่า

การดูว่าร่างทรงจริงหริอปลอม

ข้อสังเกตุ คนมีสัมภเวสี

คนที่มีองค์เทพหรือผีแฝงอยู่นั้นสังเกตุได้ด้วยตัวเองคือ
  1. มึนศรีษะข้างเดียวเป็นประจำ ทางการแพทย์ว่าเป็น “ ไมเกรน ” 
  2. หนักต้นคอ บางครั้งหนักบ่าสองข้างเหมือนมีใครมาขี่คอ
  3. แน่นหน้าอกเป็นบางครั้ง เหมือนคนหายใจไม่อิ่ม หรือไม่ทั่วท้อง
  4. มีลางสังหรณ์แม่นยำ บางทีเรียกสัมผัสที่หก หรือ “ ซิกเซ้นท์ ”
  5. ชอบฝันหรือตีเป็นตัวเลข เสี่ยงโชคได้ใกล้เคียง ซื้อทีไรก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเป็นประจำ แต่ถ้าไม่ซื้อเที่ยวบอกใคร เขาก็จะถูก 
  6. บางครั้งหูจะได้ยินเสียงเรียกเบาๆ เหมือนเสียงกระซิบหรือเสียงดังก้องในหู
  7. ไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือ มีอะไรที่ลี้ลับ จะรับรู้โดยการสัมผัส ขนลุกชันเย็นซ่าไปทั้งตัว
  8. บางครั้งสวดมนต์อยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนเป็นภาษาอื่นรัวเร็วขึ้นมา
  9. หากนั่งสมาธิจะได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เร็วกว่าคนทั่วไป
 ดังนั้นอาการบางอย่างหาหมอก็แล้ว กินยาก็แล้ว มันไม่หาย ก็ให้ สวดมนต์นั่งสมาธิตามที่ว่าแล้วแผ่เมตตาบ่อย ๆ ทุกอย่างมันจะหายไปเอง เพราะบารมีที่ทำนี่แหละ

อาการที่เกิดจากสัมภเวสีคือ
  1. ปวดศรีษะเป็นประจำ บางครั้งปวดมากจนทนไม่ไหว หมอว่าเป็น ความ  ดันบ้างก็แล้วแต่ ก็ควรตรวจเช็คแก้ไข
  2. ปวดไหล่เป็นประจำ หมอว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบ กินยาทายาก็แล้ว มันไม่หาย ตึงไปหมด ถือว่าผิดปกติ
  3.  มือเท้าชาเป็นซีก จากไหล่ หรือตะโพก หัวเข่าก็ตาม
  4.  แน่นหน้าอกมากผิดปกติ
  5.  ปวดบริเวณกระเบนเหน็บ บางที่การแพทย์ระบุว่า หมอนรองกระดูก ทับเส้น เว้นแต่กรณีการเกิดอุบัติเหตุ ลื่นหกล้มจนกระแทกพื้นอย่างแรง นั่นก็จะต้องพิจารณารายละเอียดเป็นกรณีไป
 อาการเหล่านี้อาจไม่เกี่ยวกับองค์เทพ แต่เป็นการแทรกซ้อนจากวิญญาณเร่ร่อนหรือสัมภเวสีที่ไม่มีที่อยู่นั่นเอง หากรักษาแล้วแก้ไขแล้วไม่ดีขึ้น ก็ลองติดต่อขอรับปรึกษากับ ท่านอาจารย์ที่มีความรู้และน่าเชื่อถือจะพอหาทางแก้ไขให้ได้
ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ใช้วิจารณญาณในการแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้เงินแก้ไข เพราะวิบากกรรมเป็นของมนุษย์ที่กระทำกันมา ครูบาอาจารย์องค์เทพก็ตาม ก็ไม่อาจฝืนกฏแห่งกรรมได้ แต่อาจชี้ทางแก้ไขได้ เพราะการเจ็บป่วยหรือปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้ามนุษย์นั้น มีกรรมเป็นต้นเหตุที่สำคัญ การแก้ไขเรามาแก้กันที่ปลายเหตุมันก็ไม่จบ ต้องรู้จักต้นเหตุ เพราะเหตุเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น

ลักษณะของชั้นเทพ

ลักษณะของชั้นเทพ

ลักษณะของจิตวิญญาณในระดับต่างๆ ที่ลงมาประทับทรงหรือเข้าทรงมนุษย์นั้น หากเรารู้จักสังเกตุให้ดี ก็พอจะแยกได้ว่า เป็นเทพหรือเป็นผี พิจารณาโดยสังเกตุดังนี้ 

1. ประทับทรงจากส่วนล่าง จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากปลายเท้าขึ้นมา มัก  จะเป็นพวก สัมภเวสี หรือ วิญญาณมนุษย์ที่ตายไปแล้ว
2. ประทับทรงจากด้านหลัง จิตวิญญาณใดประทับทรงจากด้านหลัง มักจะเป็นวิญญาณทั่วไปที่มีฤทธิ์อำนาจ ซึ่งมักจะเรียกขานกันว่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าปู่ ฯลฯ
3. ประทับทรงจากด้านหน้า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากด้านหน้า มักจะเป็นวิญญาณของมนุษย์ที่ไปเกิดเป็น เทวดาชั้นจาตุมฯ ที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์
4. ประทับทรงจากทางบ่า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากทางบ่า มักจะเป็นเทพหรือดาบสที่มีฤทธิ์ ในระดับกลาง ๆ
5. ประทับทรงจากกลางกระหม่อม จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากส่วนศรีษะหรือกระหม่อม มักจะเป็นเทพในระดับสูง

*แค่นี้ เราก็สรุปได้ว่า องค์มาประทับทรงเรานั้นเป็นชั้นเทพหรือสัมภเวสี